หมอประจำบ้าน: แผลเปื่อยที่ปาก (Aphthous Ulcer หรือ Canker Sore) แผลเปื่อยที่ปาก (Aphthous Ulcer หรือ Canker Sore) เป็นภาวะที่พบบ่อยมากครับ ลักษณะเป็นแผลตื้น ๆ มีสีขาวหรือเหลือง มีขอบแดงอักเสบ มักเกิดขึ้นที่บริเวณเยื่อบุภายในช่องปาก เช่น กระพุ้งแก้ม ริมฝีปากด้านใน ใต้ลิ้น เพดานอ่อน หรือเหงือก เป็นแผลที่มักทำให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะเวลาทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือพูดคุย
ประเภทของแผลเปื่อยในปาก
แผลเปื่อยในปากสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ตามขนาดและความรุนแรง:
แผลเปื่อยเล็ก (Minor Aphthous Ulcers):
เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80% ของผู้ป่วย)
ขนาดเล็ก (ไม่เกิน 1 เซนติเมตร) รูปร่างกลมหรือรี
มักขึ้นเดี่ยว ๆ หรือไม่กี่แผล
หายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
แผลเปื่อยใหญ่ (Major Aphthous Ulcers):
พบได้น้อยกว่า (ประมาณ 10% ของผู้ป่วย)
ขนาดใหญ่กว่า (มากกว่า 1 เซนติเมตร) และเป็นแผลลึกกว่า
มักจะเจ็บปวดมาก และอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
อาจทิ้งรอยแผลเป็นหลังจากหายแล้ว
แผลเปื่อยแบบคล้ายเริม (Herpetiform Aphthous Ulcers):
เป็นชนิดที่พบน้อยที่สุด (ประมาณ 5-10% ของผู้ป่วย)
ลักษณะเป็นแผลเล็ก ๆ จำนวนมาก (10-100 แผล) รวมตัวกันเป็นกระจุกคล้ายแผลเริม แต่ไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัสเริม
อาจรวมตัวกันจนกลายเป็นแผลขนาดใหญ่
มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
สาเหตุของแผลเปื่อยในปาก
สาเหตุที่แท้จริงของแผลเปื่อยในปากยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่กระตุ้นให้เกิดแผลขึ้นมาได้แก่:
การบาดเจ็บในช่องปาก: เช่น กัดโดนกระพุ้งแก้มหรือริมฝีปากโดยไม่ตั้งใจ, แปรงฟันแรงเกินไป, การระคายเคืองจากฟันปลอม หรือเหล็กจัดฟัน
ความเครียด: เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ ความเครียดทางจิตใจหรือความวิตกกังวลสามารถทำให้แผลเปื่อยกำเริบได้
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โดยเฉพาะในผู้หญิง เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือช่วงตั้งครรภ์
การแพ้อาหารหรือสารบางอย่าง: เช่น สารโซเดียมลอริลซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate - SLS) ซึ่งเป็นสารทำฟองในยาสีฟันบางชนิด, อาหารที่มีกรดสูง (เช่น ส้ม, มะนาว, สับปะรด), ช็อกโกแลต, ถั่ว, กาแฟ
การขาดสารอาหาร: โดยเฉพาะการขาดวิตามินบี 12, โฟลิก (กรดโฟลิก), ธาตุเหล็ก, และสังกะสี
ระบบภูมิคุ้มกัน: เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานผิดปกติ
พันธุกรรม: มีแนวโน้มที่จะเกิดในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นแผลเปื่อยบ่อย ๆ
โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Crohn's disease, Ulcerative Colitis), โรคเซลิแอค (Celiac disease), โรคเบเช็ท (Behçet's disease), หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การรักษาแผลเปื่อยในปาก
แผลเปื่อยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชนิดเล็ก มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ การรักษาจึงเน้นที่การบรรเทาอาการและส่งเสริมการหายของแผล:
ยาบรรเทาอาการ:
ยาชาเฉพาะที่: เช่น ยาชาชนิดเจลหรือครีมป้ายแผล เพื่อลดความเจ็บปวดก่อนรับประทานอาหาร
ยาป้ายแผลในปาก: มีส่วนผสมของสารเคลือบแผลหรือยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ
น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ: ช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรียและทำความสะอาดแผล
ยาพ่นคอ/ยาอม: หากแผลอยู่ลึกหรือหลายตำแหน่ง
การดูแลตนเอง:
หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคือง: เช่น อาหารรสจัด (เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด), อาหารแข็ง, กรอบ, หรือร้อนจัด
เลือกทานอาหารอ่อน ๆ: เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม, นม, โยเกิร์ต เพื่อลดการเสียดสีกับแผล
รักษาสุขอนามัยในช่องปาก: แปรงฟันเบา ๆ ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม ใช้ยาสีฟันที่ไม่มี SLS (ถ้าสงสัยว่าแพ้) และบ้วนปากเบา ๆ
ลดความเครียด: หาเวลาพักผ่อน ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: เพื่อรักษาสุขภาพช่องปาก
การพบแพทย์:
ควรรีบไปพบแพทย์หรือทันตแพทย์ หากมีอาการดังต่อไปนี้:
แผลมีขนาดใหญ่ผิดปกติ
แผลหายช้ากว่า 2 สัปดาห์
มีแผลเกิดขึ้นใหม่บ่อยครั้ง หรือเป็นแผลรุนแรงมาก
มีอาการเจ็บปวดรุนแรงจนทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้
มีไข้สูง หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย
สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่รุนแรงกว่า
การทำความเข้าใจและจัดการกับปัจจัยกระตุ้น จะช่วยให้คุณลดความถี่และความรุนแรงของแผลเปื่อยในปากได้ครับ