ผู้เขียน หัวข้อ: หมอประจำบ้าน: แผลเปื่อยที่ปาก (Aphthous Ulcer หรือ Canker Sore)  (อ่าน 5 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 405
    • ดูรายละเอียด
หมอประจำบ้าน: แผลเปื่อยที่ปาก (Aphthous Ulcer หรือ Canker Sore)
« เมื่อ: วันที่ 6 กรกฎาคม 2025, 15:21:44 น. »
หมอประจำบ้าน: แผลเปื่อยที่ปาก (Aphthous Ulcer หรือ Canker Sore)

แผลเปื่อยที่ปาก (Aphthous Ulcer หรือ Canker Sore) เป็นภาวะที่พบบ่อยมากครับ ลักษณะเป็นแผลตื้น ๆ มีสีขาวหรือเหลือง มีขอบแดงอักเสบ มักเกิดขึ้นที่บริเวณเยื่อบุภายในช่องปาก เช่น กระพุ้งแก้ม ริมฝีปากด้านใน ใต้ลิ้น เพดานอ่อน หรือเหงือก เป็นแผลที่มักทำให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะเวลาทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือพูดคุย

ประเภทของแผลเปื่อยในปาก

แผลเปื่อยในปากสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ตามขนาดและความรุนแรง:


แผลเปื่อยเล็ก (Minor Aphthous Ulcers):

เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณ 80% ของผู้ป่วย)

ขนาดเล็ก (ไม่เกิน 1 เซนติเมตร) รูปร่างกลมหรือรี

มักขึ้นเดี่ยว ๆ หรือไม่กี่แผล

หายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น

แผลเปื่อยใหญ่ (Major Aphthous Ulcers):

พบได้น้อยกว่า (ประมาณ 10% ของผู้ป่วย)

ขนาดใหญ่กว่า (มากกว่า 1 เซนติเมตร) และเป็นแผลลึกกว่า

มักจะเจ็บปวดมาก และอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

อาจทิ้งรอยแผลเป็นหลังจากหายแล้ว

แผลเปื่อยแบบคล้ายเริม (Herpetiform Aphthous Ulcers):

เป็นชนิดที่พบน้อยที่สุด (ประมาณ 5-10% ของผู้ป่วย)

ลักษณะเป็นแผลเล็ก ๆ จำนวนมาก (10-100 แผล) รวมตัวกันเป็นกระจุกคล้ายแผลเริม แต่ไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัสเริม

อาจรวมตัวกันจนกลายเป็นแผลขนาดใหญ่

มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์


สาเหตุของแผลเปื่อยในปาก

สาเหตุที่แท้จริงของแผลเปื่อยในปากยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่กระตุ้นให้เกิดแผลขึ้นมาได้แก่:

การบาดเจ็บในช่องปาก: เช่น กัดโดนกระพุ้งแก้มหรือริมฝีปากโดยไม่ตั้งใจ, แปรงฟันแรงเกินไป, การระคายเคืองจากฟันปลอม หรือเหล็กจัดฟัน

ความเครียด: เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ ความเครียดทางจิตใจหรือความวิตกกังวลสามารถทำให้แผลเปื่อยกำเริบได้

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โดยเฉพาะในผู้หญิง เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือช่วงตั้งครรภ์

การแพ้อาหารหรือสารบางอย่าง: เช่น สารโซเดียมลอริลซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate - SLS) ซึ่งเป็นสารทำฟองในยาสีฟันบางชนิด, อาหารที่มีกรดสูง (เช่น ส้ม, มะนาว, สับปะรด), ช็อกโกแลต, ถั่ว, กาแฟ

การขาดสารอาหาร: โดยเฉพาะการขาดวิตามินบี 12, โฟลิก (กรดโฟลิก), ธาตุเหล็ก, และสังกะสี

ระบบภูมิคุ้มกัน: เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานผิดปกติ

พันธุกรรม: มีแนวโน้มที่จะเกิดในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นแผลเปื่อยบ่อย ๆ

โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Crohn's disease, Ulcerative Colitis), โรคเซลิแอค (Celiac disease), โรคเบเช็ท (Behçet's disease), หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

การรักษาแผลเปื่อยในปาก

แผลเปื่อยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชนิดเล็ก มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ การรักษาจึงเน้นที่การบรรเทาอาการและส่งเสริมการหายของแผล:


ยาบรรเทาอาการ:

ยาชาเฉพาะที่: เช่น ยาชาชนิดเจลหรือครีมป้ายแผล เพื่อลดความเจ็บปวดก่อนรับประทานอาหาร

ยาป้ายแผลในปาก: มีส่วนผสมของสารเคลือบแผลหรือยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ

น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ: ช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรียและทำความสะอาดแผล

ยาพ่นคอ/ยาอม: หากแผลอยู่ลึกหรือหลายตำแหน่ง


การดูแลตนเอง:

หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคือง: เช่น อาหารรสจัด (เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด), อาหารแข็ง, กรอบ, หรือร้อนจัด

เลือกทานอาหารอ่อน ๆ: เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม, นม, โยเกิร์ต เพื่อลดการเสียดสีกับแผล

รักษาสุขอนามัยในช่องปาก: แปรงฟันเบา ๆ ด้วยแปรงสีฟันขนนุ่ม ใช้ยาสีฟันที่ไม่มี SLS (ถ้าสงสัยว่าแพ้) และบ้วนปากเบา ๆ

ลดความเครียด: หาเวลาพักผ่อน ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย

ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: เพื่อรักษาสุขภาพช่องปาก


การพบแพทย์:

ควรรีบไปพบแพทย์หรือทันตแพทย์ หากมีอาการดังต่อไปนี้:

แผลมีขนาดใหญ่ผิดปกติ

แผลหายช้ากว่า 2 สัปดาห์

มีแผลเกิดขึ้นใหม่บ่อยครั้ง หรือเป็นแผลรุนแรงมาก

มีอาการเจ็บปวดรุนแรงจนทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้

มีไข้สูง หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย

สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่รุนแรงกว่า

การทำความเข้าใจและจัดการกับปัจจัยกระตุ้น จะช่วยให้คุณลดความถี่และความรุนแรงของแผลเปื่อยในปากได้ครับ